การออกแบบระบบฐานข้อมูลเป็นอีกจุดสำคัญหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม
หากมีการออกแบบฐานข้อมูลที่ดี ก็เป็นเรื่องง่ายในการทำการค้นหาข้อมูล หรือเพิ่ม
แก้ไข หรือลบ เนื่องจากรูปแบบของฐานข้อมูลมีหลายรูปแบบ โดยส่วนใหญ่แล้วมักนิยมแบบ Relational
Database แต่อาจมีการพิจารณาฐานข้อมูลรูปแบบอื่นเข้าไปตามความเหมาะสมของข้อมูลของเราได้เช่นกัน
การออกแบบฐานข้อมูลมี 4 แบบ
1. Relational เป็นตารางฐานข้อมูลซึ่งมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน
แทนที่จะจัดเก็บข้อมูลทั้งหมดทุกเรื่องไว้ในตารางเดียว (ซึ่งเรียกกันว่า แบบ Flat
Database) ให้จัดแบ่งข้อมูลออกเป็นตารางใหม่หลายตารางแยกออกจากกัน
โดยมีกำหนดให้แต่ละตารางมี Field ซึ่งเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันใช้เป็นตัวอ้างอิงหรือที่เรียกว่า
Primary key และ Foreign key นั่นเอง ส่วนใหญ่จะใช้หลักการ
Normalization เพื่อสะดวกในการ insert update and
delete
2. Hierarchical เป็นฐานข้อมูลที่นำเสนอข้อมูลและความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลในรูปแบบของโครงสร้างต้นไม้ (tree structure) เป็นโครงสร้างลักษณะคล้ายต้นไม้เป็นลำดับชั้น
ซึ่งแตกออกเป็นกิ่งก้านสาขา เพื่อต้องการให้เป็นฐานข้อมูลที่สมารถกำจัดความซ้ำซ้อน
(Data Redundancy) โดยใช้แนวความคิดของโปรแกรมที่ชื่อว่า Generalized
Update Access Method (GUAM) ซึ่งข้อดีของการออกแบบฐานข้อมูลแบบ
Hierarchical คือ มีระบบโครงสร้างซับซ้อนน้อยที่สุด และเข้าใจง่าย
เหมาะสำหรับงานที่ต้องการค้นข้อมูลแบบมีเงื่อนไข หรือเรียงลำดับต่อเนื่อง
และยังสามารถป้องกันข้อมูลได้ดี เพราะต้องอ่านจาก ข้อมูล ที่root ก่อน
3. Object Oriented DB ฐานข้อมูลเชิงวัตถุ จัดเก็บทั้งข้อมูลและชุดคำสั่งไว้ด้วยกัน
จึงสามารถใช้งานร่วมกันได้โดยอัตโนมัติ
ทำให้ฐานข้อมูลชนิดนี้มีประสิทธิภาพในการจัดเก็บและจัดการ
แต่มีการนำมาใช้งานน้อยกว่าฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์
เนื่องจากมีความยุ่งยากซับซ้อนมากกว่า
4. Network DB ข้อมูลในฐานข้อมูลแบบนี้สามารถมีความสัมพันธ์กันแบบใดก็ได้
ไม่ว่าจะเป็นแบบหนึ่งต่อหนึ่ง
หนึ่งต่อกลุ่มหรือกลุ่มต่อกลุ่มโดยโครงสร้างของฐานข้อมูลแบบเครือข่ายก็เป็น Tree เช่นเดียวกับฐานข้อมูลแบบลำดับชั้น แต่จะเป็น Tree ที่ดูซับซ้อนมากขึ้นเพื่อรองรับความสัมพันธ์แบบกลุ่มต่อกลุ่ม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น